แนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ (อัตนัย)
(1) ถ้าเปิด AEC จะมีผลต่อกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยและผลกระทบต่อภาคการเกษตรไทยอย่างไรบ้าง
ตอบ ภายใต้ข้อตกลง AEC จะทำให้ไทยหันมาค้าขายกับประเทศในภูมิภาคมากขึ้นและมีการค้ากับประเทศตลาดหลักลดลง
1. สินค้าไทยส่งออกไปอาเซียนได้มากขึ้นอันเป็นผลมาจากการขจัดอุปสรรคทางการค้าทั้งด้านภาษีและด้านที่ไม่ใช่ภาษี จากการศึกษาเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ภาพรวมการค้าไทยมีผลกระทบต่อ 10 รายการหลัก ไทยจะเกินดุลการค้าในกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2551 ที่มีการเกินดุล 1,400.8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐทั้งนี้การเกินดุลมาจากการส่งออกไทยไปอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และสินค้าที่ทำให้ไทยส่งออกเพิ่มขึ้นและเกินดุลมากที่สุด คือ กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนกับกลุ่มเกษตรแปรรูป ส่วนอุตสาหกรรมบริการ ไทยจะเกินดุลในธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การส่งออกและภาคบริการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจะช่วยให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะงานทางด้านวิศกร การแพทย์และเกษตรกร
2. ไทยจะได้ประโยชน์จากขนาดของตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน เพราะประเทศสมาชิกในอาเซียน แต่ละประเทศมีลักษณะ ปริมาณและคุณภาพของปัจจัยการผลิต เทคโนโลยีการจัดการและการบริหารที่ต่างกัน ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดแก่ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการไทยได้
3. เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลกจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งกับประเทศสมาชิกอาเซียน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกเกี่ยวกับพัฒนาการในด้านเศรษฐกิจของไทยและของภูมิภาค
4. คนไทยจะมีสินค้าที่หลากหลายทั้งคุณภาพ รูปแบบและราคาให้เลือกซื้อได้ตามความพอใจและระดับของรายได้การเปิดเสรีด้านการค้า
ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area)ซึ่งเริ่มในปี 2535 โดยมีการทยอยลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และในปี 2553 ประเทศอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบรูไน จะต้องลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือ 0% ในรายการ Inclusive List ขณะที่ประเทศสมาชิกใหม่อีก 4 ประเทศ คือ กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม ต้องทยอยลดอัตราภาษีศุลกากรจนเหลือ 0% ภายในปี 2558 เป็นที่น่าสังเกตว่า การเปิดเสรีการค้าของอาเซียนทำให้สินค้าส่งออกหลายรายการของไทยได้เปรียบคู่แข่ง ในอาเซียน ขณะที่สินค้าบางรายการต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยกลุ่มสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะได้เปรียบจากการเปิดเสรีดังกล่าวมีหลายรายการ อาทิ ข้าวโพด ผลิตภัณฑ์ยาง และเฟอร์นิเจอร์ ในตลาดอินโดนีเซีย เสื้อผ้าสำเร็จรูป เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ในตลาดมาเลเซีย เป็นต้น ขณะที่สินค้าส่งออกบางรายการจำเป็นต้องปรับตัว รวมทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผ้าผืน เม็ดพลาสติก ในตลาดอินโดนีเซีย ยางพารา ผ้าผืนในตลาดฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ผลกระทบต่อภาคการเกษตรไทย
ประเทศไทยมีภาคการเกษตรที่ใหญ่และสำคัญ มีทรัพยากรธรรมชาติด้านการเกษตรอุดมสมบูรณ์ มีภาคการเกษตรอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าทันสมัย เช่น กลุ่มบริษัท ซี พี การผลิตด้านอาหารมนุษย์ อาหารสัตว์ และปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เกษตรกรที่ก้าวหน้า และที่ล้าหลัง จะมีการปรับตัวในด้านการแข่งขัน การเคลื่อนย้ายทุนและแรงงานในระหว่างภาคการเกษตร จะเกิดขึ้นมาก การสูญเสียที่ดิน และอุตสาหกรรมการผลิตระหว่างกันจะเกิดขึ้นมาก อุตสาหกรรมอาหาร จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในด้านคุณภาพ ปริมาณ และราคาจะถูกลง การขนส่ง หรือโลจิสติกทางด้านการผลิตอาหาร การเกษตร และอุตสาหกรรมจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนามากยิ่งขึ้น แรงงานการเกษตรซึ่งเป็นแรงงานระดับต่าง ๆ จะมีการเคลื่อนย้าย อพยพ เช่นที่เกิดขึ้นในภาคการผลิตการเกษตรของไทย คนงานไร้ฝีมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว พม่า เขมร อพยพเข้ามาอย่างถูก และไม่ถูกกฏหมายเพื่อจ้างงานในภาคการผลิตอาหารและการเกษตรของไทย และคนงานไทยกึ่งมีฝีมือได้เคลื่อนย้ายออกไปยังมาเลย์เซีย สิงคโปร์ และนอกกลุ่มอาเซียน เช่นญี่ปุ่น เกาหลี ตะวันออกกลาง อิสราเอล ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกา เป็นต้น
สินค้าเกษตรจำนวนหนึ่งจัดเป็นสินค้าในกลุ่มสินค้าอ่อนไหวในการเปิดเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยที่อัตราภาษีไม่ต้องเป็น 0% แต่ต้องไม่เกิน 5% สินค้าเกษตรส่วนใหญ่ไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงจึงควรเดินหน้าเปิดเสรีเต็มที่ มีสินค้าเกษตรบางประเภท เช่น กาแฟ มันฝรั่ง มะพร้าวแห้ง ไม้ตัดดอก เป็นต้น ที่เราควรยังมีอัตราภาษี 5% เพื่อปกป้องกิจการผู้ผลิตและควรทะยอยปรับลดภาษีในอนาคตเมื่อเกษตรผู้ผลิตปรับตัวรับการแข่งขันได้ดีขึ้น
(2) ถ้าคุณเป็นนักวิชาการพาณิชย์ คุณจะให้ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย
อย่างไรถึงจะแข่งขันกับ AEC ได้
ตอบ ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย
1. ปรับปรุงและพัฒนาสินค้าให้มีมาตรการสินค้าสูงขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เข้าถึงผู้บริโภคของอาเซียน
2. บริหารจัดการการผลิตบนพื้นฐานของต้นทุนการผลิตที่ลดลง
3. สร้างและใช้ประโยชน์จาก Regional Supply Chain : หาพันธมิตรและเครือข่ายทั้งต้นน้ำและปลายน้ำใน ตลาดอาเซียนเพื่อร่วมกันลดต้นทุนการผลิตและเข้าถึงผู้บริโภค
4. พัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการแข่งขัน
5. เรียนภาษาประเทศเพื่อนบ้านอย่างน้อย 1 ภาษา
6. ให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จาก พ.ร.บ. มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น 2550 และความ ตกลงอาฟตามาตรา 6 ข้อ 1 มาตรการฉุกเฉิน สามารถระงับสิทธิภายในกรอบและระยะเวลาเท่าที่จำเป็นได้
(3) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจาก 30.45 มาเป็น 29.00 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง
ตอบ ผลสะท้อนของเงินบาทแข็งค่า
การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานี้ ส่วนหนึ่งน่าจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ทั้งนี้ ในวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นนั้น การแข็งค่าของเงินบาทน่าจะถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ปรกติ
โดยค่าเงินที่แข็งขึ้น จะช่วยลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งช่วยให้รักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทางการจะต้องดูแลคือ การป้องกันมิให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้เกิดการเก็งกำไรทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและในตลาดทุน (เช่น หากนักลงทุนต่างชาติคาดว่า ทั้งเงินบาทและดัชนีหุ้นไทยจะยังปรับตัวขึ้นได้อีก ก็อาจจะนำเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ทั้งค่าเงินและดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปอีกอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมีข่าวหรือปัจจัยลบมากระทบ หรือเมื่อเกิดการขายทำกำไร นักลงทุนก็อาจจะตื่นตระหนกและเทขายทั้งหุ้นและเงินบาทออกมาอย่างรวดเร็ว จนนำมาสู่ความผันผวนอย่างรุนแรงได้)
ดังนั้น แม้ว่าการแข็งค่าของเงินบาท จะถือได้ว่าเป็นสันญาณบวกสำคัญอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจ ที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่สดใสของนักลงทุน แต่การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินมิให้ปรับตัวรวดเร็วเกินไปก็ยังคงเป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากหากปล่อยไว้ก็อาจนำมาสู่การเก็งกำไรและภาวะฟองสบู่ที่ขาดเสถียรภาพได้
เงินบาทแข็งค่า มีผลดีและผลเสียต่อผู้ประกอบการอย่างไร
กรณีผู้ส่งออก
ผลเสีย คือ ขาดทุน หรือขาดทุนกำไร ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการส่งออกปากกา 1 แท่ง ในราคาแท่งละ 35 บาท ซึ่งเมื่อเทียบเป็นเงินดอลล่าห์ ในขณะคำนวณจะเท่ากับ 1 ดอลล่าห์ ก็คือ คุณจะขายปากกาแท่งนั้นในราคา 1 ดอลล่าห์ (สมมติว่าเป็น CIF คือราคารวมประกันและขนส่งแล้ว) กำหนดการชำระเงิน 90 วัน ดังนั้น หลังจากที่คุณส่งปากกาออกไปในราคา 1 เหรียญดอลล่าห์วันนี้ อีก 90 วันถัดมา หลังจากคุณได้รับชำระเงินมา 1 เหรียญ แต่ดอลร่าห์อ่อน บาทแข็งอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลล่าห์ เท่ากับคุณได้รับเงินค่าปากกาในราคา 32 บาทต่อด้ามเท่านั้นเอง ขาดทุนเห็น ๆ 3 บาท ถ้าคุณส่งออกไปมูลค่า 1 แสนเหรียญ คุณจะขาดทุนเห็น ๆ 3 แสนบาท
กรณีผู้นำเข้า
ก็จะกลับกันกับด้านผู้ส่งออก คือ คุณจะได้กำไรจากการนำเข้าแทน คือคุณจะใช้เงินบาทน้อยลงในการแลกเปลี่ยนเป็นดอลล่าห์เพื่อชำระค่าสินค้า หรือเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ซึ่งทั้งสองกรณีมีผลต่อต้นทุนการประกอบการ และหากคุณเป็นผู้ส่งออกและต้องการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว ก็อาจจะทำได้ หลายวิธีเช่น ซื้อ Option ทำ forward หรือแม้แต่การการซื้อขายเป็นเงินบาท แต่ข้อดีข้อเสียคงต้องปรึกษา exim bank
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า
1. ลดดอกเบี้ยลงสัก 1.0 ถึง 1.5 เปอร์เซ็นต์ โดยการลดดอกเบี้ยนโยบายและควรจะลดทีเดียวไม่ควรจะลดทีละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ เพราะการค่อยๆ ลดจะทำให้ไม่เกิดผล และเกิดการคาดการณ์ต่อไปและต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงอัตราเป้าหมาย เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว
2. พร้อมๆ กับการลดดอกเบี้ย ทางการก็เข้าแทรกแซงตลาด และต้องทำให้พอจนเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถ้าทำครึ่งๆ กลางๆ เงินบาทแข็งต่อไป ธปท.ก็จะขาดทุน ถ้าทำจนบาทอ่อนตัวลงได้ ธปท.ก็จะกำไร ถ้าอ่อนตัวลงได้ถึง 38 บาทต่อดอลลาร์ ก็จะล้างขาดทุนเก่าออกได้หมด
3. การออกพันธบัตร เมื่อออกมาแทรกแซงตลาด เงินบาทในตลาดก็จะเพิ่มขึ้นมากเกิน ธปท.ก็ดูดซับเงินบาทกลับไปโดย ถ้าดอกเบี้ยเงินบาทต่ำ กว่าดอกเบี้ยดอลลาร์ ธปท.ก็ไม่ขาดทุน ดอกเบี้ยเท่ากัน ธปท.เปลี่ยนดอลลาร์ในทุนสำรองเป็นพันธบัตรซึ่งตลาดยังรับได้ แล้วถ้าตลาดพันธบัตรเกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นผลดีกับการพัฒนาการลงทุนอีกโสตหนึ่งด้วยการลดดอกเบี้ยอย่างแรงคงจะทำให้ราคาพันธบัตรในท้องตลาดที่มีอยู่แล้วขึ้นราคา แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงการดำเนินการดังกล่าวไม่น่าจะพาบ้านเมืองเข้าไปเสี่ยงกับอะไร เพราะเป็นการซื้อดอลลาร์ เอามาเก็บไว้ ทำให้ทุนสำรองเพิ่ม
4. จัดการบริหารหนี้ต่างประเทศของภาครัฐ อันได้แก่หนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยออกพันธบัตรเอาเงินบาท ใช้เงินบาทซื้อเงินดอลลาร์แล้วไปใช้หนี้คืนก่อนกำหนดอย่างน้อยสักครึ่งหนึ่ง
5. ในส่วนของเอกชน ถ้าผ่อนคลายกฎของ ธปท.ที่จะทำให้ภาคเอกชนสามารถยืมเงินบาทจากธนาคารพาณิชย์ไปใช้คืนหนี้ดอลลาร์ได้ เพราะหนี้เงินต่างประเทศเป็นหนี้ของเอกชนเสียตั้งกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถ้า ธปท.ผ่อนคลายได้ เอกชนคงรีบเปลี่ยนหนี้ดอลลลาร์มาเป็นหนี้เงินบาทแทน เพราะจะได้กำไร เพราะตอนได้มาเงินบาทมีราคากว่า 40 บาทต่อเหรียญ ถ้าคืนหนี้ตอนนี้เงินบาทมีราคา 33 บาทต่อเหรียญ เป็นการช่วยธุรกิจเอกชนด้วย ส่วนธนาคารพาณิชย์ให้สามารถปล่อยเงินที่เหลือกองอยู่ในธนาคารด้วย เพราะ สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขณะนี้มีอยู่เพียง 85 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินฝากเท่านั้น ที่เอกชนถูกบังคับให้ไปกู้ต่างประเทศ เพราะกฎ ธปท.ที่ให้นับสินเชื่อของบริษัทในกลุ่มเดียวกันเป็นสินเชื่อที่ต้องจำกัดปริมาณเพื่อความมั่นคงของธนาคาร ให้สินเชื่อไม่กระจุกตัวในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากจนเกินไป
6. สุดท้ายเร่งโครงการพัฒนาต่างๆ ให้เร็วขึ้น โดยใช้เงินกู้เป็นเงินบาทในประเทศให้มากขึ้น แม้จะไม่เกิดผลทันที แต่ก็น่าจะมีผลทางจิตวิทยาว่า ประเทศยังต้องใช้เงินดอลลาร์อย่างมาก ที่สำคัญนโยบายให้คนไทยเก็บเงินดอลลาร์ได้ ให้เอาเงินออกไปซื้อหุ้นเมืองนอกได้ ไม่ควรทำตอนนี้ ไม่มีผล เพราะผู้คนกำลังคาดการณ์ว่า เงินบาทกำลังจะแข็งต่อไป มีแต่คนอยากเก็บเงินบาท จะมีผลก็ตอนที่คนคาดว่าเงินบาทจะอ่อน คนก็จะเปลี่ยนเงินบาทเป็นดอลลาร์ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีก ต้องสั่งยกเลิกอีก กลายเป็นตัวทำให้บาทไม่มีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต ถึงตอนสถานการณ์พลิกกลับอาจจะมีปัญหาได้
(4) ถ้าคุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จงอธิบายเกี่ยวกับการส่งออกและการตลาดของสินค้าการเกษตรเช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และ ยาพารา
ตอบ รายละเอียดดังนี้
ตลาดและการตลาดของข้าว
1. อัตราการเพิ่มขึ้นของผลิตผลของข้าวในอดีตอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับอัตราการเจริญเติบโตของผลิตผลการเกษตรอื่นๆ
2. โครงสร้างของตลาดข้าวภายในประเทศมีลักษณะที่ค่อนข้างไปทางลักษณะของตลาดที่มีการแข่งขันกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่โครงสร้างของตลาดข้าวในระดับส่งออกส่อไปในทางที่ว่าผู้ส่งออกมีอิทธิพลในการกำหนดราคารับซื้อข้าวจากพ่อค้าขายส่งภายในประเทศ
3. ช่องทางการตลาดข้าวไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากอดีตมากนัก กล่าวคือ ชาวนาส่วนใหญ่จะขายข้าวเปลือกให้กับพ่อค้าท้องถิ่นผู้ซึ่งจะนำไปขายให้กับโรงสีขนาดกลางและขนาดใหญ่ เพื่อสีเป็นข้าวสารแล้วส่งขายต่อให้กับพ่อค้าขายส่งในกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งจะจัดสรรขายต่อไปให้ผู้ส่งออก พ่อค้าขายส่งข้าวสารในภาคใต้และพ่อค้าขายปลีกในกรุงเทพฯ
4. ปัญหาที่สำคัญของตลาดและการตลาดข้าวได้แก่ การขาดระบบการส่งข้าวสาร การตลาดที่มีประสิทธิภาพ ปัญหาเรื่องการชั่งตวงวัดและคุณภาพ และปัญหาระดับการแข่งขันต่ำระหว่างพ่อค้าส่งออกในการซื้อข้าวไปขายต่างประเทศ
การผลิตและการจัดสรรผลิตผลของข้าวในอดีต
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ (1) อัตราเพิ่มต่อปีต่ำ โดยเปรียบเทียบอัตราการเพิ่มของพืชอื่น (2) ปริมาณผันผวนขึ้นลงในแต่ละปี (3) การเพิ่มขึ้นในอดีตเกิดจากการเพิ่มขึ้นของการใช้ที่ดินมากกว่าการเพิ่มขึ้นของผลิตผลต่อไร่
โครงสร้างของการตลาดข้าว
โครงสร้างตลาดข้าวของไทย แยกระดับตลาดออกเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นตลาดการซื้อขายระหว่างพ่อค้าท้องถิ่นกับชาวนาระดับที่สองเป็นตลาดการซื้อระหว่างพ่อค้าระดับต่างๆ ภายในประเทศ และระดับที่สาม เป็นการซื้อขายระหว่างพ่อค้าส่งออกกับพ่อค้าขายส่งในประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการกระจุกตัวส่วนแบ่งของตลาดและความยากง่ายในการเข้า-ออกจากตลาดแล้ว ตลาดระดับแรกและระดับที่สองมีลักษณะโครงสร้างที่ค่อนข้างแข่งขันสมบูรณ์ แต่ระดับส่งออกมีลักษณะที่ส่อไปในทางเป็นตลาดผู้ซื้อผูกขาด
ปัญหาที่สำคัญของตลาดและการตลาดของข้าว
ปัญหาที่สำคัญของตลาดและการตลาดของข้าวมีดังนี้คือ (1) เรื่องวิธีการซื้อขายยังเปิดโอกาสให้พ่อค้าเอาเปรียบได้ง่าย (2) เรื่องคุณภาพที่ชาวนาไม่ไคร่จะมีความรู้ความชำนาญในการกำหนดหรือชี้คุณภาพ (3) การค้าระดับส่งออกมีพฤติกรรมของตลาดส่อชี้ไปในทางที่ทำให้เข้าใจว่าจะมีลักษณะตลาดแบบ (กลุ่ม) ผู้ซื้อผูกขาด
ตลาดและการตลาดของมันสำปะหลัง
1. การผลิตมันสำปะหลังและการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้มันสำปะหลังภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตทั้งหมด
2. โครงสร้างตลาดภายในของมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมีลักษณะคล้ายโครงสร้างตลาดของข้าวคือ มีลักษณะแข่งขัน แม้ว่าจำนวนผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจะมีไม่กี่ราย
3. ช่องทางการตลาดของมันสำปะหลังไม่มีความซับซ้อนมากเหมือนกรณีของช่องทางการตลาดข้าว
4. ปัญหาสำคัญของตลาดและการตลาดมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคือ ปัญหาการผลิตมากกินความต้องการของตลาดต่างประเทศ ปัญหาด้านนโยบายแก้ไข ปัญหาเรื่องคุณภาพ และปัญหาเรื่องข่าวสารการตลาด
การผลิตและการจัดสรรผลิตผลมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
การใช้ภายในประเทศยังมีสัดส่วนที่น้อย ส่วนใหญ่ส่งไปขายให้กับ EEC ในรูปของอาหารสัตว์ และขายให้ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาในรูปของแป้งมัน การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในรูปอาหารสัตว์ในอดีตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทำการส่งออกแป้งมันมีแนวโน้มคงที่หรือลดลง
โครงสร้างตลาดและการตลาดของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
การส่งมันเส้นและมันอัดเม็ดนั้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทผู้ซื้อสำคัญ 5 บริษัทคือ (1) Krohn&Co Bangkok Ltd, (2) Tradex. Co. Ltd, (3) Alfred C. (4) Toepfer Bangkok Co. Ltd (5) Trakulkam Feed Manufacturing Co. Ltd บริษัท Krohn&Co Bangkok Ltd เป็นผู้มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ประมาณร้อยละ 36 มีบริษัทคนไทยที่ขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้กับบริษัทข้ามชาติทั้ง 5 บริษัทนี้ จำนวน 35 บริษัท
ปัญหาที่สำคัญของตลาดและการตลาดมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
ปัญหาที่สำคัญของตลาดและการตลาดมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ได้แก่ (1) ปัญหาที่เกิดจากการผลิตได้มากเกินความต้องการของต่างประเทศ ซึ่งเป็นมูลเหตุก่อให้เกิดปัญหาที่ 2 (2) ปัญหาด้านนโยบายห้ามตั้งโรงงานแปรรูปมันสำปะหลังเพิ่มเติม (3) ปัญหาเรื่องคุณภาพและสิ่งเจือปน (4) ปัญหาด้านข่าวสารการตลาดของระบบการขนส่ง
ตลาดและการตลาดของอ้อย
1. แม้ว่าผลิตผลรวมของอ้อยจะเพิ่มขึ้นมากในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ผลิตผลต่อไร่ของอ้อยยังต่ำมากเมื่อเทียบกับผลิตผลต่อไร่ของประเทศอื่นๆ และยังไม่มีแนวโน้มที่เห็นชัดว่าผลิตผลต่อไร่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต
2. โครงสร้างตลาดและการตลาดอ้อยในอดีต มีลักษณะที่ส่งให้เห็นอำนาจการต่อรองที่เหนือกว่าของฝ่ายเจ้าของโรงงาน ระบบการจัดสรรผลประโยชน์จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบของฝ่ายโรงงานน้ำตาลที่มีต่อชาวไร่อ้อย
3. อ้อยจากชาวไร่จะถูกแปรรูปให้เป็นน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายดิบ ซึ่งส่วนใหญ่ของน้ำตาลทรายขาวที่ผลิตได้ใช้บริโภคภายในประเทศ และน้ำตาลทรายดิบถูกส่งออกโดยบริษัทส่งออก 2 บริษัทเท่านั้น
4. ปัญหาตลาดและการตลาดของอ้อยและน้ำตาลคือปัญหาการพึ่งพาตลาดน้ำตาลเสรีในตลาดโลก ปัญหาต้นทุนการผลิตน้ำตาลสูง และปัญหาการเอารัดเอาเปรียบของหัวหน้าโควตาต่อลูกไร่
การผลิตและการจัดสรรผลิตผลของอ้อยและน้ำตาล
แนวโน้มการผลิตอ้อยในระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมามีลักษณะดังนี้ คือ ปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 9 แต่ผลิตผลต่อไร่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละประมารครึ่งเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นผลิตผลที่เพิ่มขึ้นจึงเกิดจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เพาะปลูกอ้อยเป็นประการสำคัญ
โครงสร้างตลาดและการตลาดของอ้อยและน้ำตาล
อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ ลักษณะโครงสร้างตลาดและการตลาดอ้อยก็คือมีลักษณะของผู้ซื้ออ้อยน้อยราย กล่าวคือในบรรดาโรงงานจำนวน 44 โรงทั่วประเทศนั้นแท้จริงแล้วประกอบด้วยกลุ่มของโรงงาน 2 กลุ่ม มีสมาชิกภายในแต่ละกลุ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น การรวมตัวกันดังกล่าวสร้างอำนาจการต่อรองที่เหนือกว่าผู้ขายอ้อยคือ ชาวไร่ (หัวหน้าโควตา) เป็นอันมาก
ช่องทางการตลาดของอ้อยและน้ำตาล
โรงงานซื้ออ้อยจากชาวไร่ผ่านหัวหน้าโควตาไปผลิตน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายดิบตามโควตาที่ได้รับจากสำนักงานอ้อยและน้ำตาล เมื่อได้น้ำตาลทรายขาวแล้ว ก็จะจัดส่งไปให้คนกลางกลุ่มต่างๆ โดยผ่านสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว คนกลางเหล่านั้นก็จะจัดส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จนกว่าจะถึงมือผู้บริโภคขั้นสุดท้าย
ปัญหาตลาดและการตลาดอ้อยและน้ำตาล
ปัญหาที่สำคัญของตลาดและการตลาดของอ้อยและน้ำตาล ได้แก่ (1) ปัญหาที่น้ำตาลต้องขึ้นอยู่กับตลาดน้ำตาลเสรี ที่มีการผันแปรอยู่บ่อยๆ (2) ปัญหาเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตน้ำตาลและคุณภาพของอ้อยต่ำ (3) ปัญหาเกี่ยวกับการผลิตภายใต้ระบบหัวหน้าโควตา
ตลาดและการตลาดของยางพารา
1. ยางพาราที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นผลิตผลจากต้นยางพันธุ์เก่าที่ผลิตผลต่ำ และร้อยละ 90 ของปริมาณการผลิตในแต่ละปีถูกส่งเป็นสินค้าออก
2. แม้ว่าตลาดระดับท้องที่จะประกอบด้วยชาวสวนและพ่อค้าจำนวนมาก แต่ลักษณะของการผลิต ปริมาณการขาย และการขาดแคลนข่าวสารการตลาดดังกล่าวมีพฤติกรรมคล้ายกับว่าเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดราคา
3. ส่วนใหญ่ของชาวสวนยางจะขายยางให้กับพ่อค้าในหมู่บ้านรองลงมา คือ ขายให้พ่อค้าในเมือง และขายโดยตรงให้ผู้ส่งออก ตามลำดับ
4. ปัญหาสำคัญของตลาดและการตลาดยางพารา คือคุณภาพของยางพาราที่ผลิตได้ยังมีระดับต่ำ พ่อค้ามีอำนาจต่อรองเหนือกว่าชาวสวนยางจึงมีโอกาสกดราคารับซื้อ และการส่งออกยางพาราตกอยู่ในกำมือของผู้ส่งออกรายใหญ่ๆ ไม่กี่ราย
การผลิตและการจัดสรรผลิตผลยางพารา
สภาพการณ์การผลิตยางพารา คือ (1) ต้นยางส่วนใหญ่มีอายุมากและเป็นยางพันธุ์เก่าที่ให้ผลผลิตต่ำ (2) แหล่งผลิตยางของไทยคือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก (3) ต้นยางภาคตะวันออกมีอายุเฉลี่ยต่ำกว่าต้นยางภาคใต้
สภาพการจัดสรรผลิตผลยางพาราคือ ส่วนใหญ่ของยางที่ผลิตได้เป็นยางคุณภาพชั้นสาม หรือ สี่ ซึ่งร้อยละ 90 ของปริมาณการผลิตถูกส่งเป็นสินค้าออก ปริมาณการใช้ในประเทศยังน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณการผลิต แต่มีอัตราการเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง
โครงสร้างตลาดและการตลาดยางพารา
เหตุผลประการสำคัญ คือ คุณภาพของยางแผ่นนั้นจะดีหรือเลว ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการแปรรูป จากน้ำยางเป็นยางแผ่นอย่างมาก ผู้ซื้อไม่ค่อยจะทราบดีว่าคุณภาพที่แท้จริงของยางแผ่นที่ชาวสวนนำมาขายเป็นอย่างไร ผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างไร จึงต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นสำคัญ ฉะนั้นถ้าชาวสวนประสงค์จะเปลี่ยนผู้รับซื้อก็อาจจะเสี่ยงต่อการถูกตัดราคาลงอย่างมากก็ได้
ช่องทางการตลาดของยางพารา
ส่วนใหญ่ของปริมาณยางพารา ชาวสวนจะขายให้กับพ่อค้าในหมู่บ้าน ประมาณ 1 ใน 4 ของผลิตผลชาวสวนขายให้กับพ่อค้าในเมือง สัดส่วนของผลิตผลที่ชาวสวนขายโดยตรงให้กับพ่อค้าส่งออกอีกประมาณร้อยละ 22 ยางพาราที่ผลิตได้ทั้งหมดจากเกษตรกรชาวสวน และเมื่อหลังจากผ่านกระบวนการแปรรูปและจัดหีบห่อแล้วประมารร้อยละ 96 ของผลิตผลยางพารา จะถูกส่งเป็นสินค้าออกไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งผู้นำเข้ารายใหญ่ของไทยคือ ประเทศญี่ปุ่น
ปัญหาตลาดและการตลาดของยางพารา
(5) สาเหตุของวิกฤติการณ์การเงินที่แพร่ไปทั่วโลกเกิดจากอะไร
ตอบ เกิดวิกฤติในยูโรโซน
ในช่วงที่ผ่านมา ได้เกิดวิกฤติในยูโรโซน ใน 3 รูปแบบ พร้อมๆ กัน คือ
1) วิกฤติการคลังที่รัฐบาลขาดวินัย เช่น กรีซ และโปรตุเกส
2) วิกฤติธนาคารที่สถาบันการเงินมีปัญหา เช่น ไอร์แลนด์ และ สเปน
3) วิกฤติเศรษฐกิจจริงที่ธุรกิจล้มและคนตกงานมาก โดยมาตรการแก้ปัญหาในยุโรป ปัจจุบัน จำแนกได้ 2 ประเภท คือ 1.มาตรการแก้ปัญหาสภาพคล่อง (ผ่านECBอัดฉีดเงิน และตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องEFSF,ESM) และ2. มาตรการแก้หนี้สินล้นพ้นตัว (ผ่าน Hair Cut ให้กรีซ ควบคู่กับให้ตั้งเงื่อนไขให้ลดการขาดดุลในเวลาจำกัด)
ประเด็นสำคัญในยุโรป ที่ต้องจับตาในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้การเงินโลกผันผวนมากในระยะนี้ ได้แก่
(1) ปัญหาการเลือกตั้งในกรีซ
(2) ปัญหาการขาดรายละเอียดของสเปนที่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดกังวลเรื่อง Credit Preferential Status ของเจ้าหนี้เอกชนที่อาจได้รับการชำระคืนหนี้หลังจากเจ้าหนี้ภาครัฐ และภาระหนี้รัฐบาลสเปนที่สูงขึ้น จนทำให้อัตรากู้เงินพันธบัตรรัฐบาลสเปนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมือวานนี้
(3) ตลาดการเงินเริ่มกังวลว่าประเทศใดต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินต่อจากสเปน ขณะนี้มีโอกาสสูงที่ ไซปรัส ต้องเป็นประเทศถัดไปที่ขอความช่วยเหลือ แต่ที่น่ากังวลคือ ความเสี่ยงที่จะลามไปที่อิตาลี ซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในยูโรโซน
(4) ความไม่เพียงพอของกองทุนสภาพคล่องชั่วคราว EFSF ที่มีวงเงินเหลือแค่ 2 แสนล้านยูโร ซึ่งไม่พอที่จะช่วยสเปนเพิ่มเติมและอิตาลี ขณะที่กองทุนถาวร ESM ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
(5) ผู้นำยุโรปไม่มีความเด็ดขาดในมาตรการแก้วิกฤติในยุโรป (โดยเฉพาะประเด็น EU-wide Deposit Gurantee และ Eurobond ซึ่งจะเป็นกลไหสำคัญที่ช่วยป้องกันการลุกลามของวิกฤติยุโรป) ซึ่งหากที่ประชุมผู้นำยุโรปในวันที่ 28-29 มิ.ย.ไม่มีมาตรการชัดเจน อาจทำให้ตลาดเงินผันผวนมากยิ่งขึ้นในช่วงปลายเดือน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ผ่าน 2 ช่องทางหลัก
ช่องทางการเงิน:
(1) ผลกระทบการเงินทางตรงในภาพรวมมีไม่มาก เพราะสถาบันการเงินไทยที่ไปลงทุนในยุโรปมีเงินลงทุนน้อยมาก (ไม่ถึง 5% ของสินทรัพย์รวม) ทำให้ความเสียหายมีน้อย ขณะที่ BIS Ratio ของไทยก็สูงถึง 15.3% ก็พอที่จะรับความเสียหายได้สบาย นอกจากนั้น ผลกระทบทางตรงจากการที่ต่างชาติจะเรียกคืนเงินให้กู้ยิมแก่ไทย deleveraging ก็มีไม่มาก โดยปัจจุบัน หนี้ต่างประเทศไทยมี 121 พันล้านusd ซึ่งน้อยกว่าทุนสำรองฯ ของไทย 172 พันล้าน usd แต่ ในระดับจุลภาค อาจมีบางบริษัทไทยฯ ที่พึ่งพาเงินกู้จาต่างประเทศ ได้รับผลกระทบบ้าง (ดังนั้น อาจต้องให้สถาบันการเงินไทยเข้ามาช่วยรองรับปล่อยสินเชื่อแทน)
(2) ผลกระทบการเงินทางอ้อม สถาบันการเงินไทยอาจมีความเสี่ยงจากคู่ค้าสถาบันการเงินในยุโรปประสบปัญหาขาดทุนจากการลงทุนในยุโรป (Counterparty Risk) ดังนั้น สถาบันการเงินไทยควรจะมีระบบติดตาม monitor counterparty risk ของคู่ค้าสถาบันการเงินในยุโรปให้ดี เพราะหากวิกฤติรุนแรงขึ้น อาจมีสถาบันการเงินล้มละลายเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน (คล้ายกับหลังเกิดวิกฤติ Lehman) นอกจากนี้ ผลกระทบทางอ้อมอีกด้านมาจากตลาดเงินทุนโลกทีผันผวน ซึ่งจะทำให้ราคาหลักทรัพย์ในไทยและค่าเงินบาท ผันผวนตาม Sentiment ของนักลงทุนโลก ช่องทางการค้าของภาคเศรษฐกิจจริง:
(2.1) ผลกระทบทางตรง มาจากผู้ประกอบการที่ค้าขายสินค้าและบริการกับประเทศในยุโรป จะได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลง ทั้งจากยอดขายที่ลดลง และค่าเงินยูโรที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ซึ่งในภาพรวมหากวิกฤติกระจายไปทั้วทั้งสหภาพยุโรป ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10% ของการส่งออกรวมของไทย ค่อนข้างมาก โดยกลุ่มสินค้าส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าอื่น ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อัญมณีเครื่องประดับ เครื่องนุ่งหม ยาง และแผงวงจรไฟฟ้า นอกจากนั้น ผู้ประกอบการไทยยังมีความเสี่ยงจากคู่ค้าที่ล้มละลาย หรือ ไม่สามารถชำระหนี้ได้
(2.2) ผลกระทบทางอ้อม มาจากผลกระทบในรอบ 2 ที่คู่ค้าหลักของไทยนอกจากยุโรปก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติยุโรปเช่นกัน โดยเฉพาะ จีน สหรัฐ ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวมกันสูงถึง 30% ของการส่งออกรวมของไทย ดังนั้น การส่งออกในภาพรวมของไทยอาจได้รับผลกระทบมาก
แนวนโยบายในการรองรับความผันผวน
(1) เน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้สาธารณชนได้รับทราบถึงฐานะสถาบันการเงินที่ดี (กองทุน BIS สูง NPLต่ำ Exposure ต่างประเทศต่ำ) และเสถียรภาพต่างประเทศทีแข็งแกร่งของไทย (ทุนสำรองฯสูง กว่าหนี้ต่างประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล หนี้สาธารณะต่ำ
(2) ให้คณะกรรมการ Emergency Economic Resolution Committee ที่ประกอบด้วยหน่วยงานกำกับการเงินทั้งหมด Monitor Exposures ของสถาบันการเงินไทย (ทั้งธนาคาร กองทุนรวม บริษัทประกัน) อย่างใกล้ชิด (สาเหตุที่ต้องใช้กรรมการในลักษณะนี้ เพราะประเทศไทยใช้ระบบกระจายการกำกับสถาบันการเงิน ธปท.ดูแบงก์ กลต.ดูกองทุนรวม คปภ.ดูประกัน แต่วิกฤติยุโรป แบงก์ กองทุน ประกัน มีความเชื่อมโยงกันใกล้ชิดมาก)
(3) ดูแลสภาพคล่องเงินบาทและเงินดอลลาร์ในระบบให้พอ สภาพคล่องเงินบาทไม่น่าห่วง เพราะมีสภาพคล่องส่วนเกินในระบบถึง 2.1 ล้านล้านบาท แต่ในช่วงวิกฤติ ทั่วโลกมักขาดสภาพคล่องดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกรรมต่างประเทศของไทย ทั้งนี้ ธปท.สามารถทำ Swap Line กับธนาคารกลางประเทศต่างๆได้ ส่วนกระทรวงการคลัง หากจำเป็น อาจกู้ต่างประเทศมาช่วยเสริมได้
(4) เรื่องความผันผวนของค่าเงิน ในภาพรวม เป็นหน้าที่รับผิดชอบของธปท.ที่ intervene ดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพ ส่วนในระดับจุลภาค กระทรวงการคลัง ต้องมอบให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น Exim Bank ช่วยผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็ก SME เรื่องเกี่ยวกับ Hedging ประกันความเสี่ยง รวมทั้งช่วยเรื่องสภาพคล่องการเงินให้แก่ผู้ส่งออกนำเข้า ที่อาจขาดสภาพคล่องชั่ัวคราวในช่วงวิกฤติ
(5) ในระดับมหภาค ควรให้กระทรวงการคลังออกระเบียบเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า (อันสืบเนื่องจากการอนุมัติงบฯล่าช้าในช่วงต้นปี) ให้สามารถมาเร่งเบิกจ่ายให้ทันภายในสิ้นปีงบประมาณ เพื่อให้ทดแทนรายได้การส่งออกที่อาจลดลงจากวิกฤติยุโรป ส่วนกระทรวงพาณิชย์ เน้นหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดยุโรป โดยมุ่งเน้นที่ประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจยังโตดีและมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น ประเทศในเอเชียตะวันออก ที่มีช่องว่างการคลังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ
สาเหตุหลักของการเกิดวิกฤติระบบการเงินโลก
การตรวจสอบสาเหตุของการเกิดวิกฤติการณ์ ประดุจกุญแจของการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การคิดวิเคราะห์ใดด้วยกับการใช้หลักการคิดวิเคราะห์ที่ถูกต้องละเอียด และตรงประเด็นเท่ากับเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง และยั่งยืน
ส่วนสาเหตุที่ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์สรุปได้ดังนี้
1.ประการที่หนึ่ง
การขาดจริยธรรมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้แพร่หลายอย่างมาก เช่น การแสวงหาผลประโยชน์ การโกหก การหลอกลวง การกักตุน กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างที่วางอยู่บนบรรทัดฐานของการคาดเดา และนี้คือสิ่งที่ก่อให้เกิดการสูญเสีย และการฉ้อฉล ซึ่งถือเป็นการอธรรมของผู้ที่เป็นเจ้าของเงินที่เป็นผู้ร่ำรวย และมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ต่อผู้ที่ยากจน ขัดสน และมีฐานะเป็นลูกหนี้ และอาจจะเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดการแข็งข้อของบรรดาลูกหนี้ และก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงทางสังคม เมื่อพวกเขาไม่สามารถชำระหนี้ของพวกเขาได้
2.ประการที่สอง
วัตถุได้กลายเป็นการละเมิด และเป็นอาวุธของผู้ที่ละเมิด วัตถุได้กลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางของระบบการเมือง และกำหนดกฎเกณฑ์การนำพาโลกมนุษย์ ดังนั้น ทรัพย์จึงกลายเป็นสิ่งสักการะเคารพบูชาของนักวัตถุนิยม
3. ประการที่สาม
ธนาคารในระบบดอกเบี้ยได้ดำเนินกิจการอยู่บนระบบดอกเบี้ย ทั้งดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเท่ากับการดำเนินกิจการภายในกรอบที่มีบรรทัดฐานของการค้าหนี้สิน ทั้งในแง่การซื้อและการขาย คราใดที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากเพิ่มขึ้น ก็จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปล่อยให้ ปัจเจกชน บริษัทต่างๆ ผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง คือ ธนาคาร หรือพ่อค้าคนกลาง ส่วนภาระที่หนักหน่วงและความอธรรม ก็จะเกิดกับผู้กู้เงินหรือผู้ที่เป็นหนี้ ไม่ว่าจะกู้เพื่อใช้สอยหรือกู้เพื่อการลงทุน
โดยเหตุนี้มีนักนักเศรษฐศาสตร์บางท่านให้ทรรศนะว่า กิจกรรมภาคเศรษฐกิจยังไม่ได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอย่างแท้จริงรวมทั้งการนำมาใช้อย่างฉลาดและมีประสิทธิภาพของกลไกการผลิตที่ยังไม่เกิดขึ้น ยกเว้นจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยให้เหลือ 0% (ไม่มี) นี่คือทรรศนะของ อาดัม สมิธ ซึ่งเป็นบิดาของนักเศรษฐศาสตร์ (ตามทรรศนะของท่าน)
นักเศรษฐศาสตร์เหล่านั้นมีความเห็นว่าทางเลือกที่จะทดแทนระบบทุนนิยมสมัยใหม่ คือ ระบบการร่วมลงทุนที่มีส่วนรับผิดชอบร่วมกันในผลกำไรและขาดทุน เพราะระบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
พวกเขามีทรรศนะอีกว่า ระบบดอกเบี้ย คือ ระบบที่ลากจูงไปสู่การกระจุกของเงินตราให้อยู่ที่คนบางกลุ่มเพียงหยิบมือเดียว และมีอิทธิพลต่อการครอบงำต่อทรัพยากรต่าง ๆ
4.ประการที่สี่
ระบบการเงิน การธนาคาร ตลอดจนสถาบันการเงินในระบบต่างๆ ได้ดำเนินกิจการด้วยระบบดอกเบี้ย ที่เกี่ยวกับหนี้สิน โดยการเก็บดอกเบี้ยในอัตราสูง หรือหลักการทดแทนหนี้ที่จำเป็นต้องชำระด้วยกับการสร้างหนี้ตัวใหม่ คือการทบอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเช่นเดียวกับผู้ที่กินดอกเบี้ยในยุคญาฮิลียะฮ์ ¹ ได้ใช้สโลแกนว่า“ท่านจะต้องชำระหนี้ หรือจะปล่อยให้ดอกเบี้ยทบทวีคูณ” ระบบดังกล่าวเท่ากับเป็นการสร้างภาระหนี้ให้กับผู้เป็นหนี้ เป็นทวีคูณ ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ (เงินต้น) ตัวแรกได้ ด้วยกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
5. ประการที่ห้า
ระบบการเงินโลกและระบบตลาดหลักทรัพย์ ได้ดำเนินกิจกรรมอยู่บนระบบที่มีบรรทัดฐานของตัวเงินสมมุติ บรรทัดฐานของการเป็นไปได้และการเสี่ยง แต่ไม่ใช่การดำเนินกิจกรรมทางธุรกรรมที่เป็นรูปธรรมที่มีตัวตนของสินค้าและการให้บริการ ซึ่งกิจกรรมของระบบการเงินตลาดหุ้นหรือหลักทรัพย์จึงไม่ต่างอะไรกับบ่อนการพนัน ที่ให้บริการหารายได้ด้วยกับการเสี่ยงโชค มีทั้งโชคดีและโชคร้าย ซึ่งโดยส่วนใหญ่พวกเขาจะเข้ามาร่วมกิจกรรมโดยการอิงกับเครดิตจากธนาคารต่างๆในรูปแบบของการกู้หนี้ ดังนั้นเมื่อนาวาของพวกเขาต้องประสบกับมรสุมที่ไม่พึงประสงค์ ทุกอย่างก็ล่มสลาย และเกิดภาวะวิกฤติทางการเงิน
6. ประการที่หก
การให้บริการที่ขาดจิตสำนึกด้านจริยธรรมของสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง โดยได้ทำหน้าที่หาลูกค้า ด้วยการโน้มน้าวลูกค้าที่ปรารถนาจะกู้ยืม โดยปกปิดข้อเท็จจริงบางประการ หลอกลวง ใช้เล่ห์เหลี่ยม เพื่อให้เกิดการกู้เงินทางสถาบันการเงินจนเป็นเหตุให้ผู้กู้เงินในปริมาณที่มาก ทั้งที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดทุน ผู้ที่แบกรับภาระทั้งหมดคือ ผู้ที่กู้เงินซึ่งไม่มีพลังใดๆ และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และนำไปสู่การเกิดวิกฎติการณ์ในที่สุด
7. ประการที่เจ็ด
การขยายขอบข่ายของระบบบัตรเครดิตจนเกินความจำเป็น จนถึงระดับจ่ายได้โดยไม่มีเงินอยู่ในบัญชี หรือใช้จ่ายได้แม้กระทั่งเกินเงินบัญชีของเจ้าของบัตร ทำให้เจ้าของบัตรเครดิต ต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติได้ เช่น ในกรณีที่เจ้าของบัตรเครดิตไม่สามารถชดใช้หนี้สินได้ดอกเบี้ยก็จะถูกเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และจะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงขั้นอายัดบัตร หรือจำนำรถ หรือจำนำบ้านเรือนของผู้เป็นเจ้าของบัตร ดังกล่าวก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของผู้ที่ครอบครองบัตรเครดิต ที่นำไปสู่ความระส่ำระส่ายในระบบครัวเรือน และเป็นวิกฤติการณ์ที่เกิดกับธนาคารระบบดอกเบี้ย
(6) ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างต่อภาวะเศษรฐกิจโลกในปัจจุบัน
ตอบ EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะขยายตัว โดยเศรษฐกิจน่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากสามปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยแรกคือการใช้จ่ายภาครัฐที่น่าจะเพิ่มขึ้นมากจากการใช้จ่ายงบลงทุนภายใต้พระราชกำหนดบริหารจัดการน้ำ ซึ่งระบุให้กระทำการกู้เงินได้ภายในไม่เกินเดือนมิถุนายน 2013 ปัจจัยที่สองคือประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่น่าจะสูงขึ้นจากการทดแทนเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมด้วยเครื่องจักรใหม่ และปัจจัยที่สามคือตลาด CLMV6 ที่กำลังขยายตัวและเป็นช่องทางให้ธุรกิจไทยเติบโต อัตราเงินเฟ้อในปี 2013 น่าจะมีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกับปีนี้เนื่องจากราคาน้ำมันดิบคงจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก
ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี ธปท.อาจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวกในช่วงปลายปี 2013 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ออมเงิน และทำให้เงินบาทแข็งค่าได้เล็กน้อย สำหรับปัจจัยเสี่ยงนั้น วงจรการลดความเสี่ยงในยูโรโซนอาจทำให้หลายประเทศยังประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจโลกและความต้องการสินค้าจากไทยหดตัว
ปัญหาของยูโรโซนมีความซับซ้อนและยากที่จะแก้ไข จึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจโลกในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เป็นเหตุให้ทุกประเทศต่างเตรียมใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาครัฐ การผ่อนคลายนโยบายการเงิน หรือมาตรการส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ เพื่อลดผลกระทบต่อประเทศตนเอง ซึ่งธุรกิจไทยจำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบจากมาตรการเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
เศรษฐกิจไทย
สำหรับประเทศไทย เศรษฐกิจโดยรวมมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ ตามที่ได้ประเมินไว้เดิม โดยการผลิต
ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตควบคู่ไปกับการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อทดแทนส่วนที่เสียหาย ทั้งนี้ ระดับสินค้าสำเร็จรูปคงคลังในหลายอุตสาหกรรมเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งหมายความว่าการเร่งผลิตสินค้าอาจชะลอลงบ้าง ในภาพรวมแล้ว การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมน่าจะขยายตัวได้ ภาคอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังคือการ
ชะลอตัวลงของการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป
ภาคการส่งออกไทยเริ่มขยายตัวแต่ยังมีความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป มาส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยหดตัวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนมาถึงเดือนเมษายน แต่เริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัวจากตัวเลขการส่งออกในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัว นำโดยการส่งออกรถยนต์ที่ขยายตัวสูง
ประกอบกับการส่งออกไปยังตลาดที่สำคัญอย่างยุโรปและญี่ปุ่นกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง
ว่าภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ได้ฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว อย่างไรก็ดี อุปสรรคต่อการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้รวมถึงใน
ปีหน้าคือกำลังซื้อจากต่างประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป โดยการส่งออกของไทยในปี 2013 มีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ ซึ่งไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับฐานที่ต่ำในปี 2012
(7) จงอธิบายเกี่ยวกับ บทบาทหน้าที่ หน่วยงานในสังกัด กระทรวงพาณิชย์ มาให้เข้าใจ
ตอบ
หน้าที่กระทรวงพาณิชย์
*******************
มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการค้า ธุรกิจบริการ ทรัพย์สินทางปัญญา และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงพาณิชย์
บทบาทหลัก
*******************
1. ภารกิจด้านในประเทศ
2. ภารกิจด้านต่างประเทศ
หน่วยงานในสังกัด
*****************
หน่วยงานในส่วนกลาง
- สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ (OPS)
- กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (DTN)
- กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
- ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (SACICT)
- สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT)
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFTC)
- ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET)
- สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (*เป็นการแบ่งส่วนราชการภายในฯ)
หน่วยงานในส่วนภูมิภาค
- สำนักงานการค้าต่างประเทศในภูมิภาค
- สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด
- สำนักงานส่งเสริมการส่งออกในภูมิภาค
หน่วยงานในต่างประเทศ
- คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การค้าโลก
- สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ